Happy Birthday : Ashura
ผู้เข้าชมรวม
531
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
หนึ่งลำนำ... ขับขาน... ในรัตติ
เพียงหนึ่งเสียง... เริ่มริ... ให้กล่าวขาน
ถึงกลุ่มคน... ผู้เป็น... เช่นตำนาน
เล่าสืบสาน... จำนาญจา... ไล่เรียงคน
เขาว่ากันว่า ในโลกนี้มีบางสิ่งที่ถึงจะต่างกัน ก็สามารถบ่งบอกถึงสิ่งเดียวกันได้อย่างแม่นยำชัดเจน
เพียงเสียงกระซิบเบาๆ อาจเปลี่ยนผันเป็นสัจวาจาหรือโป้ปดได้ไม่ต่างจากคำพูดสามัญธรรมดา
เป็นได้แม้กระทั่งคำใบ้สู่มหาทรัพย์หรือมหาวิปโยค
ต่อให้ไร้วจีใด... สัญญาณเพียงน้อยบิดก็อาจบอกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้
...หากผู้ถูกเตือนนั้นรู้ตัว...ล่ะก็นะ? ...
“คุณฮิโทคิ พัสดุมาส่งครับ” เสียงกดกริ่งดังขึ้นที่หน้าบ้านพร้อมกับเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นบอกความประสงค์ของตัวเองในการมาเยือนครั้งนี้ คิ้วเรียวของหญิงสาวที่กำลังจะออกไปเปิดประตูกระโดดชนกันกลางหน้าผาก ฮิโทคิงั้นรึ?
แล้วฮิโทคิที่ว่าน่ะ มันคนไหนกันล่ะ?
“ค่ะ” คิดเสียว่าอีกเดี๋ยวคงรู้เองเปิดประตูออกไป บุรุษไปรษณีย์คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูรั้วของบ้านที่เลื่อนออกจากกันได้เองราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาเลื่อนมันออกไป ข้างกายมีกล่อกระดาษขนาดใหญ่มากกล่องหนึ่งวางอยู่
...มันสูงกว่าตัวบุรุษไปรษณีย์เองเสียอีก...
“เชิญข้างในค่ะ” รีบพูดเมื่อบุรุษไปรษณีย์ตั้งท่าจะยกมันขึ้นมา ฮิโทคิ อาชูร่ารีบถอยเข้าไปในบ้าน เปิดทางให้ของชิ้นใหญ่นั้นผ่านเข้ามาในบ้านได้สะดวกขึ้น แม้ว่ามันจะยังทุลักทุเลอยู่ดีก็เถอะ
หนึ่งนั้นคือ... ผู้ถือ... อัคคีเวท
ผู้เบิกเนตร... รวมเรา... เข้าแรกหน
เปลวอัคคี... สะบัดพลิ้ว... ทั่วมณฑล
เป็นแรกคน... บุกเบิก... ซึ่งตำนาน
“จากที่ไหนกันคะนี่?” ดวงตาสีแดงสดมองไปยังกล่องพัสดุกล่องนั้น ไม่มีการ์ดอะไรแนบมาเลย มีเพียงที่อยู่บ้านฮิโทคิซึ่งเป็นตัวพิมพ์จากคอมพิวเตอร์ และชื่อของผู้รับติดอยู่เท่านั้น
ฮิโทคิ อาชูร่า
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ” คำตอบที่แน่นอนออกมาจากปากของคนส่งของ ชายหนุ่มจัดแจงหามุมเหมาะๆ วางสิ่งของชิ้นนั้นลง แล้วส่งฟอร์มเซ็นชื่อให้หญิงสาวเจ้าของชื่อ “กรุณาเซ็นรับของด้วยครับ”
การเซ็นชื่อจบลง คนส่งของโค้งตัวแล้วเดินจากไปโดยไร้สุ้มเสียง ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วเหลือเกิน...
และทันทีที่ประตูบ้านปิดลง ฮิโทคิ อาชูร่าก็ไม่อาจทราบถึงรอยยิ้มกว้างอย่างน่ากลัวของชายผู้นั้นเลยสักนิดเดียว เขาหัวเราะในลำคออย่างแฝงความนัยแล้วก้าวเท้าเดินหายไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ในที่แห่งนั้น
กลไกสำคัญถูกวางไว้แล้ว ฟันเฟืองทั้งหมดกำลังเดินหน้า
สัญญาณเตือนนั่นกำลังทำงานด้วยเสียงที่เบาพอๆ กับชีพจร
เจ้าจะรู้ตัวทันเวลาหรือไม่หนอ?... ฮิโทคิ อาชูร่า
แควก...
เสียงฉีกห่อกล่องกระดาษดังขึ้นอย่างทุลักทุเล เจ้าของพัสดุกำลังพยายามแกะดูของข้างในอย่างอยากรู้อยากเห็น ในเวลานี้ครอบครัวที่เหลือของเธอหายไปไหนกันหมดก็ไม่รู้ ทั้งบ้านจึงไม่มีใครมาช่วยเธอแกะห่อพัสดุนี้ได้เลย
แต่ทว่า... น่าแปลกนัก ทำไมที่ที่ว่างเหมือนเจาะจงให้เจ้าพัสดุนี่มาตั้งได้เพียงแห่งเดียวในบ้าน ต้องเป็นที่ปลายเตียงนอนของเธอด้วยหนอ?
พลัน เมื่อกล่องกระดาษส่วนหนึ่งฉีกขาดออก ของข้างในก็ปรากฏขึ้น
นาฬิกาไม้โบราณขนาดสูงกว่าตัวเธอเรือนหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าด้วยสภาพสมบูรณ์ไร้ที่ติ เข็มสีทองหลุดนิ่งทว่าเธอก็ทราบดีว่ามันกำลังทำงาน ลูกตุ้มทองเหลืองแกว่งไปมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย...
สวย และช่างดูขลังอลังการนัก...
อนุมานได้คำเดียวเท่านั้น ต้องมีคนในครอบครัวไม่คนใดก็คนหนึ่งแอบซื้อแล้วส่งมาให้เธอแน่ๆ !
แต่ทว่าดวงตากลับจับจ้องที่จุดๆ หนึ่งซึ่งเป็นจุดเดียวที่ผิดปกติบนนาฬิกาเรือนนี้ จุดที่นาฬิกาทั่วไปไม่น่าจะลืมมันได้
บนหน้าปัดที่มีตัวเลขโรมันสิบสองตัวจารึกอยู่... ไม่มีเลขหนึ่ง แต่กลับมีจุดแต้มกลมๆ สีดำหนึ่งดวงเสียแทน !!
นี่คือความผิดพลาด หรือความจงใจ?
หง่าง...
เสียงนาฬิกาตีหนึ่งครั้งบ่งบอกว่าอีกสิบหน้านาทีจะบ่ายสองโมงแล้ว จู่ๆ ความรู้สึกง่วงนอนก็ถาโถมเข้ามาอย่างไม่คิดฝัน ดวงตาสีชาดหรี่ปรือพยายามขับไล่ความง่วงนอนอยู่พักใหญ่ๆ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ ซ้ำร้ายยังเพิ่มความง่วงเป็นเท่าทวีเสียอีก ร่างกายพยายามตะเกียกตะกายไปให้ถึงที่นอนให้ได้
แต่ดูเหมือนว่าความง่วงนั้นจะไม่ยอมให้ทำแบบนั้น สติของพี่ใหญ่แห่งฮิโทคิรุ่นแรกขาดผึงและหายไปในที่สุด
ร่างโปร่งบางทรุดลงฟุบร่างท่อนบนกับขอบเตียง โดยที่ร่างกายส่วนล่างยังไม่ได้ขึ้นไปบนเตียง...
และ...
หง่าง หง่าง...
เวลาบ่ายสองมาถึงในที่สุด
กลไกที่ย้ำเตือนได้ปรากฏสู่สายตาหนึ่งครั้ง หากผู้ได้รับมันยังไม่รู้ตัว
ณ บัดนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยมิอาจห้ามปรามได้เกิดขึ้นแล้ว
เวลาแห่งคำเตือนอันน้อยนิดร่วงโรยหายไป เหลือเพียงความจริงกึ่งคำลวงที่ปรากฏ
ความฝัน ความจริง... ภาพลวงตา หรือสิ่งใด... ผู้ได้รับมิอาจพิสูจน์
ฟันเฟืองจะยังคงหมุนต่อไป... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
บรรยากาศในห้องนอนของขาลแห่งนักษัตรมืดมิดลงอย่างกะทันหัน มีเพียงนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ส่องแสงสีทองเลื่อมพรายผิดธรรมชาติ เสียงเพลงลึกลับก้องกังวานออกมาอย่างแผ่วเบา และค่อยๆ ดังขึ้นทีละน้อย...
เลข II ... เปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ แล้วหายไปจากหน้าปัดนาฬิกา
สองกอบเกตุ... เนตรโสต... โลดแล่นเหลือ
คอยช่วยเกื้อ... เอื้อโอบ... ไม่โลภสาน
อีกหนึ่งผู้... อยู่เบื้องหลัง... คำสาบาน
รวมชีวาน... เป็นหนึ่ง... ในตระกูล
ร่างบางของหญิงสาวผมดำอีกคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่ข้างๆ ร่างที่กำลังหลับใหล ดวงตาสีอำพันหรี่ลงพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของคนผู้นั้น เธอย่อตัวลงกุมมือข้างหนึ่งของผู้หลับใหลเอาไว้
“ขอให้หลับฝันดีนะคะ”
...
...
ลืมตาขึ้นสิ... พยัคฆ์แห่งนักษัตรเอ๋ย...
ของขวัญจากวานรจะถูกเปิดออกเป็นกล่องแรก ทุกคนรอเจ้าอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
กล่องของขวัญสีเหลืองทองปรากฏขึ้นที่ปลายเท้าของหญิงสาวผู้หลับใหล การ์ดใบน้อยใบเดียวที่ติดอยู่มีเพียงลายมือตัวเล็กๆ เขียนติดๆ กันเท่านั้นที่ยังคงอยู่ ตัวหนังสือเหล่านั้นกำลังเปล่งแสงเจิดจ้า
‘ขอให้หลับฝันดี’
ละอองสีทองพลันลอยขึ้นมาจากปลายเตียง รวมตัวกันเป็นผีเสื้อจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันบินทะลุร่างของหญิงสาวไป
ขณะนี้ ความฝันที่ดีไร้ที่ติได้เริ่มขึ้นแล้ว...
...
...
“ที่นี่มัน?” หญิงสาวผมดำยาวรู้สึกตัวตื่นขึ้นก่อนที่จะพบว่าเธอไม่ได้อยู่บนที่นอน พื้นหญ้านุ่มๆ ที่รองรับตัวเธอไว้ถูกย้อมด้วยแสงจากฟ้าจนเป็นสีดำคล้ำ นี่คือยามราตรีแล้วหรือ? แล้วที่นี่คือที่ไหนกันเล่า?
“ยินดีต้อนรับสู่ท้องทุ่งของเรา” เสียงหนึ่งดึงความสนใจของอาชูร่าจากบริเวณรอบข้าง หญิงสาวดวงตาสีแดงเพิ่งพบว่ามีอีกคนที่อยู่กับเธอ ร่างบางของหญิงสาวอีกคนยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอมากนัก
รูปร่างหน้าตาแบบนี้... เหมือนเธอจะคุ้นเคยกับคนๆ นี้เมื่อไหร่สักที่?
พยายามนึกเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าเจอคนตรงหน้าที่ไหน หญิงสาวผมสีดำหยักศกหัวเราะเบาๆ
“ท่านไม่ได้มาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรกหรอกหรือ?” ถามเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หญิงสาวดวงตาสีแดงละความคิดจากหญิงสาวตรงหน้าแล้วส่ายหน้า “เปล่า นี่เป็นครั้งแรกน่ะ”
หญิงสาวเจ้าของถิ่นยิ้มละไม
“เชิญพักอยู่ที่นี่สักหน่อยเถอะ ในฐานะแขกที่เราเชิญมาเอง” พูดจบก็โบกมือขึ้นสูง หิ่งห้อยนับร้อยนับพันปรากฏตัวขึ้นจากที่ต่างๆ ส่องแสงวูบวาบเต็มไปหมด สายลมที่ดูจะคอยท่ามานานก็พลิ้วไสวอย่างอ่อนโยนราวจะโอบกอดผู้ที่สัมผัสมันไว้ในอ้อมอกกระนั้น เส้นผมสีดำของสตรีทั้งคู่พลิ้วตามแรงลมเล็กน้อย
“เธอเป็นใครกัน?” เอ่ยถามเจ้าของสถานที่ที่ไม่มีวี่แววว่าจะพูดอะไรต่อแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาแทนคำตอบก็คือรอยยิ้ม
“ท่านไม่จำเป็นต้องรู้จักเราหรอก พักให้สบายเถอะ” โบกมืออีกครั้ง และแล้วเสียงดนตรีที่ไพเราะแต่แปลกประหลาดมากก็ดังขึ้น ไม่ได้เหมือนกับดังมาจากจุดใดจุดหนึ่ง แต่เหมือนว่าสถานที่นี้ทั้งหมดกำลังบรรเลงเพลงขับกล่อมอย่างนุ่มนวล
เหมือนเป็นการต้อนรับอันวิจิตรพิสดาร...
เดินสิ...
เสียงเบาๆ ของใครบางคนกระซิบบอกร่างบางของผู้มา ดวงตาสีแดงฉายแววงุนงง ทว่าเสียงนั้นก็ยังดังขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ใช่การบังคับ แต่เหมือนแนะนำ...
ขาของเธอกำลังจะขยับ หากหญิงสาวเจ้าของถิ่นกลับสังเกตเห็น
“กรุณารับนี่ไปด้วยเถิด” นางเดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นกล่องไม้เล็กๆ แต่แกะสลักงดงามสีเหลืองกล่องหนึ่งให้ “นี่คือของกำนัลจากข้า รับรองไม่มีอะไรร้ายๆ ในนั้นแน่นอน”
ดวงตาสีแดงจ้องสบกับดวงตาสีอำพันที่สบตรงแน่วจริงใจ รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของผู้รับ
ของขวัญกล่องแรกเปลี่ยนมือสู่ผู้รับ... สำเร็จด้วยดี...
หญิงสาวแห่งพงไพรยืนนิ่ง ปล่อยให้บทเพลงแห่งป่าบรรเลงต่อไป และทุกสิ่งก็กลับเป็นเหมือนเดิมราวไม่เคยถูกขัดจังหวะ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ไม่รู้ว่ามากเพียงใดที่หัวใจของหญิงสาวผ่อนคลายและคล้อยตามบทเพลงนั้น ร่างบางเดินผละออกจากเจ้าของสถานที่เดินต่อไปเรื่อยๆ เหมือนถูกสะกด ไม่รู้ว่านานเพียงไรที่เดิน แต่กลับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แม้เพียงเหงื่อสักนิดก็ไม่มี
จนกระทั่งดวงตาพลันมองเห็นรอยต่อของเขตแดนบางอย่างเข้า...
ผืนป่าอันงดงามหยุดลงเป็นเส้นตรง ณ ปลายเท้า ตรงหน้ามีอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่มีแต่ความมืดตั้งตระหง่านอยู่ สายลมที่โพยพัดเหมือนจะบอกให้ก้าวเท้าเดินเข้าไปในนั้น และแล้วเธอก็ต้องทำตามคำบอกของสายลมอย่างว่าง่าย...
และในโลกภายนอกนั้น เลข II พลันดับแสงลง...
เวลาในยามนี้คือบ่ายสาม ทว่าในห้องยังคงมืดมิด...
และทันที เลข III กลับสว่างไสวแทน
สามนั้นไซร้... เม็ดทราย... พร่างจุนเจือ
ผู้ชิดเชื้อ... งานฝีมือ... ไม่เหือดสูญ
คอยดูแล... พี่น้อง... แม้นอาดูร
แม้นงานตน... ทวีคูณ... ต้องเห็นใจ
เธอมาแล้ว .... เสียงเล็กๆ นั้นกระซิบ
เสียงใครกัน?
เราพร้อมกันแล้วหรือยัง ดอกไม้ ดนตรี แล้วเจ้าล่ะ ... ขนมหวาน
พวกเจ้าอย่ามัวแต่เล่นกันสิ โน่น นางมาโน่นแล้ว
ไปสร้างความสำราญให้นางซะ!!
เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กชายหญิงดังใกล้เข้ามา รู้ตัวอีกทีเธอก็ถูกโอบล้อมด้วยเด็กตัวน้อยที่แต่งแต้มใบหน้าด้วยรอยยิ้มสดใส ไม่อาจรู้ได้ว่าเหตุใดตัวของพวกเขาจึงได้เปล่งแสง ส่องให้อุโมงค์สว่างขึ้น สองคนในนั้นคว้ามือเธอแล้วนำเดินออกมาสู่ภายนอก
ป่าไผ่เหมือนในนิทานญี่ปุ่นปรากฏขึ้นในสายตา จากปากทางอุโมงค์ต่อยาวถึงทางเดินที่กว้างพอสำหรับอาชูร่า และเด็กตัวน้อย ระหว่างทางเดินต้นไผ่ที่ขึ้นเรียงรายประดับแต่งราวกับงานเทศกาล ที่มีเพียงเธอ และผู้เชิญชวนตัวน้อยนี้เท่านั้น
“พวกเธอจะพาฉันไปไหน” อาชูร่าเอ่ยถาม
เสียงหัวเราะดังใส “งานฉลองต้อนรับท่านยังไงล่ะ”
ไม่ว่านางจะต้องการหรือไม่ นางก็ไม่ได้คัดค้านออกมา
เหตุก็เพราะ ที่ปลายทางนั่น ... แสงสว่างที่ส่องลงมาผ่านพ้นลงบนลานกว้างๆ เสมือนสปอร์ตไลท์ ร่างหนึ่งนั่งรอคอย หากม่านไผ่ได้บดบังไว้ไม่ให้เห็นชัด แต่การขยับไหวเหมือนร่างนั้นกำลังแต่งแต้มสีสันลงบนผืนผ้าใบ
ใครกันนะ
“อย่าสงสัยเลย” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นราวกับล่วงรู้ความคิด “มาเถอะ พวกเรารอท่านอยู่นานเลยละ”
กลิ่นดอกไม้หอมหวานลอยเข้าโสตรับรู้ ควันกรุ่นของชามองความอบอุ่น เคียงกับขนมหวานที่สรรค์แต่งอย่างน่ารัก เคล้าด้วยเสียงดนตรีที่แว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง
ร่างที่อาชูร่าสงสัยนั้นเป็นหญิงสาว ใบหน้าประดับรอยยิ้มที่เตรียมรอเพื่อส่งให้กับใครบางคน .... นั่นก็คือเธอ
“เร็วสิคะ จะได้เริ่มงานกัน”
อาชูร่าทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตามคำเชิญนั้น ทันทีเด็กๆ ก็ผละจากเธอไป จึงได้เห็นว่า นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีร่างเล็กๆ นั่งเล่นกระจัดกระจายอยู่ บ้างก็ร้อยมงกุฎดอกไม้ บ้างก็จับมือล้อมวงเต้นรำ
แต่ทุกสีหน้าที่เธอเห็นนั้น ล้วนแล้วแต่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
อาชูร่าละสายตาจากพวกเด็กๆ แล้วหันมาพิจารณาหญิงสาวผู้กำลังวาดรูปอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อเธอสะบัดพู่กันครั้งสุดท้ายออก พลันเกิดเป็นเด็กหญิงคนหนึ่งขึ้นมา
“เอ๊ะ ...”
นางสร้างภาพวาดให้มีชีวิต
จิตรกรหัวเราะอย่างร่าเริง “นั่นคนสุดท้ายแล้วละค่ะ น้องคนสุดท้ายของพวกเรา”
อาชูร่ามองตามหญิงสาวผมบ๊อบลุกขึ้นยืน กล่องที่เปิดฝาใบหนึ่งอยู่ในมือ
“ถึงตอนนี้จะจำไม่ได้ แต่ข้าเชื่อว่าท่านรู้จักเรา ... และพวกเขาแน่นอน” สายตาทุกคู่ที่อยู่ในป่าไผ่อันแสนสงบนี้หันมาจับจ้องเธอ มันไม่ใช่ความรู้สึกคุกคาม แต่มีบางอย่างภายในของเธอโหยหา รอยยิ้มสุดท้ายของร่างตรงหน้าส่งให้เธอ “และเมื่อถึงตอนนั้น ท่านจะได้เห็นสถานที่นี้อีกครั้ง ในตอนที่พวกเราเคยเป็นพวกเขามาก่อน แม้ว่ามันจะนานแสนนานในความทรงจำของพวกเราก็ตาม”
แสงสว่างส่องวาบออกมาจากกล่องใบนั้น โอบล้อมไปทั่งจนอาชูร่าต้องหรี่ตามอง เด็กๆ ค่อยๆ ถูกดึงเข้าไปในกล่องของขวัญ ก่อนที่เธอจะมองไม่เห็นอะไรอีก
ใครกันนะ ที่ฉันอาจรู้จัก
บุคคลที่วาดภาพให้มีชีวิตได้ ...
ในโลกภายนอกที่เธอไม่อาจเห็น
เข็มนาฬิกาเคลื่อนมาหยุดที่ตัวเลข VI
สี่เอื้อเฟื้อ... เกื้อให้... หายใจกัน
อย่าคิดฝัน... คนผู้นั้น... หาเป็นใหญ่
เป็นเพียงเงา... แทรกเร้น... เป็นร่มไซร้
ค่อยรับฟัง... เหตุใด... ที่ผ่านมา
นาฬิกาตีบอกชั่วโมงดังกังวาน ครานี้เป็นเลข VI บนนาฬิกาที่เรืองแสงสีเงินแล้วหายวับไปจากหน้าปัด ปี่กฎร่างของใครคนหนึ่งขึ้นมาแทนที่หมายเลข III ที่เพิ่งหายไป
“นอนแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอกครับ ท่านพี่”
อ้อมแขนอันแข็งแกร่งโอบอุ้มร่างบางขึ้นวางบนเตียงอย่างทะนุถนอม ก่อนจะดึงผ้าขึ้นห่อคลุมร่าง สายตาเหลือบมองกล่อง และห่อของขวัญสองชิ้นที่วางบนหัวเตียงก็ยิ้มบาง ก่อนจะวางม้วนประดาษซึ่งพันด้วยริบบิ้นไว้เคียงข้างกัน
.......................
...............
.......
เสียงขับกล่อมบทกลอนเป็นสิ่งที่ดึงให้ดวงตาของขาลแห่งฮิโทคิเบิกขึ้น แปลกนักที่เมื่อครู่ถูกโอบล้อมด้วยแสงสว่างจนตาพร่ามัว แต่ในยามนี้เธอกำลังอยู่ในห้องราตรีกาล
ที่จันทราสาดส่องผ่านฉากกั้น
อาชูร่าขยับตัวลุกขึ้น จึงเห็นว่าเธอนอนอยู่บนฟูกที่ปูไว้เรียบร้อย มองหาต้นเสียงแห่งทำนองหวานหู
ลุกจากฉากกั้น หญิงสาวได้เห็นบุรุษหนุ่มนั่งอยู่ที่ชายระเบียงไม้ ข้างกายเป็นโต๊ะเขียนหนังสือเล็กๆ วางแท่นหมึก และกระดาษที่บรรจงเขียนลายมือเป็นระเบียบ ส่วนพู่กันจีนอยู่บนมือที่เคลื่อนไหวไปพร้อมกับเสียงขับขาน
เจ้าของฉายาเงาเพลิงก้าวเดินเชื่องช้า ไม่ให้รบกวนกวีหนุ่มที่กำลังแต่งบทกลอนชมดอกซากุระ ซึ่งโปรยปรายด้วยสายลมจากผืนฟ้ายามค่ำคืน
เสียงนุ่มเอ่ยชวน “ถ้าไม่รังเกียจ เชิญมานั่งข้างเราสิครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยโดยไม่ได้หันมา แต่เธอได้ยินเสียงน้ำชาจากกาเทใส่ถ้วย จึงเดินไปนั่งข้างๆ ตามคำเชิญ อาชูร่ารับถ้วยชามา และปล่อยให้ความอุ่นกำลังดีนั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ก่อนจะพิจารณาบุคคลแปลกหน้า
ดวงตาสีน้ำเงินครามเลือนไปจับจ้องบนกระดาษเขียนบทกวีที่ใช้ท่อนขาของตนแทนโต๊ะรองเขียน เส้นผมดำขลับถูกรวบไว้หลวมๆ เสมือนหนึ่งขุนนางชั้นสูง ผู้กำลังพักผ่อนอยู่ในเรือนของตนเองจึงปล่อยตัวตามสบาย มือซึ่งค่อนข้างขาวจัดโผล่พ้นชายยูคาตะสีเข้มกำลังขยับถ้อยคำ
จบไปอีกหนึ่งบท ชายหนุ่มก็เริ่มเอ่ยท่องถ้อยคำเป็นทำนอง
บทกวีกล่าวถึงพระจันทร์ ....
อาชูร่านิ่งฟัง เสียงนั้นแสนนุ่มนวล อ่อนโยน ราวกับจะโอบกอดมอบความอบอุ่นที่มาจากภายในใจของเธอเอง ความรู้สึกลึกๆ บอกว่านี่เป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยนัก แต่ไม่ว่าเท่าใดก็นึกไม่ออก
“นายชอบพระจันทร์หรือ” เธอเอ่ยถาม
ผู้ขับขานหยุดมือ ค่อยๆ เลื่อนสายตามองโคมราตรีบนผืนฟ้า “เราชอบพระจันทร์ครับ”
ประโยคพูดจบเพียงแค่นั้น ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันมา ริมฝีปากได้รูปเผยยิ้มน้อยๆ
ข้าชอบรอยยิ้มนั้น .... อาชูร่าพึมพำกับตนเองในใจ
“ในยามที่ท้องฟ้ามืดสนิท จนมองไม่เห็นสิ่งใด มีเพียงจันทราเป็นแสงสว่างที่จะคุ้มครองภยันตราย” บุรุษร่างสูงดูราวกับผืนฟ้าในยามนี้ หากแท้จริงแล้วเขาเป็นเสมือนพระจันทร์ที่สาดแสงในความมืด เสมือนบุคคลผู้เร้นกาย และรอที่จะเผยตัวออกมาเมื่อใครคนหนึ่งต้องการ
“เราจะเป็นพระจันทร์ให้ท่านเอง ... ท่านพี่”
ยังมีห้า... มนตรา... ชาญหาญล้น
เป็นอีกคน... อีกหนึ่ง... ผู้เก่งกล้า
แฝงเร้นตัว... เร้นจิต... ในมายา
เพียงเอ่ยเพรียก... เรียกจรรจา... จักเผยเงา
เสียงที่ได้ยินอยู่ในตอนนี้มีเพียงแว่วเสียงสายลมที่พัดเบาๆเท่านั้น เส้นผมสีดำสลวยปลิวไสวไปตามสายลมที่พัดผ่าน ดวงตาสีโลหิตจับจ้องภาพเบื้องหน้าอย่างงุนงง
ผืนดินอันว่างเปล่าที่มีเพียงต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวที่ตระหง่านอยู่ ท้องฟ้ามืดครึ้มพร้อมกับสายลมที่เริ่มทวีความแรงขึ้นทุกทีๆ
ขาสองขากลับก้าวเดินไปที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ราวกับรับรู้ได้ถึงความต้องการ มือเรียวสัมผัสโคนต้นไม้เบาๆรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านผ่านฝ่ามือ
“รู้สึกดีใช่ไหมล่ะครับ?” เสียงนุ่มนวลที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนดังมาจากด้านบน ดวงเนตรคู่สวยเบือนขึ้นมองไปที่ต้นเสียงก็สบเข้าที่ดวงตาสีนิลอันคมกริบ
ร่างโปร่งกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ที่เมื่อสักครู่ใช้พักพิง เด็กหนุ่มก้มลงคำนับให้หญิงสาวอย่างนอบน้อม
“ในที่สุดท่านก็มา...” เด็กหนุ่มพูดขึ้นเบาๆ นัยน์ตาสีดำช้อนขึ้นมองหญิงสาว
“ใครกัน?” คำถามที่เรียกรอยยิ้มของเด็กหนุ่มให้กว้างขึ้น แสงจันทราสาดส่องเผยให้เห็นเส้นผมสีเพลิงที่คุ้นตา ดวงหน้าคมสวยได้รูปราวกับเคยเห็นจนเจนตา
แต่...ทำไมฉันถึงได้ลืมเลือนมันไปจนหมดสิ้น?
ทำไมกัน....
“อย่าได้เป็นกังวลไปเลยครับ”เสียงที่เพรียกนางจากภวังค์ เด็กหนุ่มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน มือขาวซีดที่ตัดกับอาภรณ์สีดำค่อยๆขยับมาข้างหน้าพร้อมกับกล่องใบหนึ่ง
“ตัวเรานั้นไม่ทราบว่าท่านจะชอบมันหรือไม่ แต่เราก็อยากมอบให้ท่านได้เก็บเอาไว้”เด็กหนุ่มกล่าวเบาๆ มือขาวซีดยื่นกล่องกระดาษสาที่ห่อด้วยริบบิ้นสีฟ้าไว้อย่างสวยงามให้หญิงสาว
พลัน ผีเสื้อสีฟ้าเหลือคณานับก็โบยบินมาล้อมรอบตัวของหญิงสาว นัยน์ตาสีแดงเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก แต่จมูกก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอันแสนหอมหวานชวนให้โหยหา
มันเป็นความรู้สึกที่แสนคุ้นเคย...
ฉันรับรู้ได้เพียงแค่นั้น...
เสียงสายลมเริ่มดังขึ้นอีกคราราวกับต้องการบรรเลงให้ผู้มาเยือนได้สนับฟังความไพเราะอันเร้นลับที่ธรรมชาตินั้นอำพรางไว้
“เราขอให้ท่านมีความสุขนะครับ”
เสียงสุดท้ายจาก’เงาอัสนี’
.
..
..
ท่ามกลางความมืดมิดในห้องนอนยามราตรีนั้น แสงสว่างที่ล้อมรอบ เลข V ค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับที่ เข็มนาฬิกาชี้ไปยังเลข VI
แสงสีทองก็ปรากฏขึ้น...
หกบุคคล... พฤกษา... มายาฝัน
ดั่งสุบรรณ... กล้ากราด... หาขลาดเขลา
ทุกท่วงท่า... กรีดเยื้อง... เพียงไร้เงา
เป็นนางพราย... แห่งเรา... ทั้งครอบครัว
ฝูงผีเสื้อหายไปหมดแล้ว ดวงตาสีแดงโลหิตกวาดมองไปรอบๆตัวพลันร่างกายก็รับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นจากสถานที่
หิมะขาวโพลนปกคลุมไปทั่วทุกที่ ช่างเย็นเหยียบชวนให้รู้สึกอ้างว้าง แต่ก็งดงามราวอัญมณีชิ้นเอก...
ฉับพลันมือซีดขาวก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกเปียกแฉะ และเมื่อมองมาที่มือของตนก็พบกับเสือขาวตัวใหญ่กำลังเลียมือของเธออยู่
“ยินดีต้อนรับค่ะ”เสียง หวานใสดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับร่างของเด็กสาวเจ้าของแดนที่หนาวเย็นนี้ เสือขาวผละจากมือของเธอไปและย่างกายเข้าไปหาเด็กสาวช้าๆ
“ต้องขออภัยหากมันทำให้ท่านตกใจ”แม้ว่าใบหน้างามนั้นจะดูไร้อามรณ์แต่น้ำเสียงที่แฝงมานั้นไม่ได้บ่งบอกเลยว่านางกำลังอารมณ์เสีย
“ขอเชิญเข้าไปดี่มอะไรอุ่นๆก็สิคะ”เสียงหวานเอ่ยชักชวน ดวงตาสีชมพูจับจ้องผ็มาเยือนด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
จู่ๆ หิมะก็เริ่มโปรยปราย ความเย็นเหยียบจนก่อให้เกิดหมอกบดบังการมองเห็นของหญิงสาว อาชูร่ายกแขนขึ้นบังนัยน์ตา เพียงสักพักเธฮก็รู้สึกได้ว่าร่างกายที่หนาวจนเกือบเป็นน้ำแข็งนั้นเริ่ม อุ่นขึ้นทีละน้อย
“ลืมตาขึ้นเถอะค่ะ”
นั่นไม่ใช่คำสั่ง แต่เธอก็พร้อมที่จะทำตาม อาชูร่าค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ พลันดวงตาสีแดงเลือดก็ต้องเบิกกว้างริมฝีปากรูปกระจับขยับช้าๆ
“สวยจัง...”
ก้อนน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลายเรียงกันจนเป็นรูปบ้าน แสงจากสุริยาส่องกระทบจนเกิดประกายที่งดงามจนไร้ที่ติ
“ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวยิ้มรับกับคำชม พร้อมกับที่มือบางค่อยๆรินน้ำชาลงแก้วเจียระไนใบสวย ในตอนนั้นเองที่อาชูร่ากลับรู้สึกว่าเคยเห็นท่าทางที่สง่างามนั้นอย่างชินตา
“ทำไมพวกคุณถึงต้องทำอะไรแบบนี้ให้ฉันด้วยล่ะ?”อาชูร่าถาม เรียกเนตรสีชมพูเบือนกลับมา
“ในตอนนี้คุณอาจจะคิดแบบนั้น...”นางกล่าวเพียงแค่นั้น มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบ ในขณะที่อาชูร่าทำได้เพียงมองคนตรงหน้าด้วยแววตาที่สับสน
“ไม่ดื่มชาล่ะคะ ไม่เช่นนั้นชาจะเย็นชืดหมดนะคะ”เธอพูดพลางมองถ้วยชาตรงหน้าของอาชูร่า นั่นทำให้ผู้มาเยือนต้องรีบดื่มมัน
ทันใดนิ้วเรียวยาวดันสิ่งๆหนึ่งมาให้ อาชูร่าได้เพียงมองมันด้วยความงุนงงเท่านั้น
“นี่คือของเล็กๆน้อยๆจากเรา เราปรารถนาที่จะให้ท่านเก็บรักษามันไว้”
กล่องของขวัญใบเล็กๆเหมือนกับกล่องแหวน
“แต่ว่า..”
“เราไม่ต้องการให้ท่านปฏิเสธ ถึงแม้ว่าตอนนี้ท่านอาจจะไม่รู้จักเรา แต่อีกไม่นาน...”
“พวกเธอชอบพูดกำกวมแบบนี้เสมอ”
“คิกๆๆ สมกับเป็นท่าน เราว่าแล้วท่านจะต้องพูดแบบนี้...”นางหัวเราะ ดวงตาสีชมพูพราวระยับอย่างถูกใจทันใดนั้น สีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นตกใจ
“แย่แล้ว เรากักตัวท่านไว้นานขนาดนี้เชียวหรือ”นาง โบกมือเบาๆหนึ่งที ลูกบอลแสงก็ปรากฎขึ้นล้อมรอบตัวของอาชูร่าและกล่องของขวัญกล่องเล็กๆนั้น ดวงตาสีแดงคู่งามค่อยๆปรือลงช้าๆและร่างกายนั้นก็ค่อยๆเลือนลางหายไปในที่สุด...
แสงสีทองค่อยๆเลือนหายไปจาก VI และเริ่มสว่างวาบในตัวเลขถัดไป....
เจ็ดคือผู้... สู้รอบ... ชอบประจัญ
ผู้บากบั่น... เริงร่าย... ไร้ช้าชั่ว
เคลื่อนหายไป... เงาพรายเพียง... แสงสลัว
ยากพบตัว... เพียงเพื่อ... จะท้าดวล
ถัดจากดินแดนที่ปรากฏเป็นแห่งที่ห้า ร่างบางก็ได้พบกับดินแดนที่หกที่รอคอยเธออยู่ สองเท้าเดินเข้าไปในสถานที่ที่มืดเสียจนหาแสงที่ส่องลงมาแทบไม่เจอ จุดสว่างสองสามจุดบนพื้นที่พอเห็นได้บ้างบ่งบอกว่าในยามนี้คือยามกลางวัน แต่เธอก็ยังไม่ทราบข้อมูลมากกว่านี้อยู่ดี
มองไม่เห็นทิวทัศน์รอบตัวด้วยซ้ำ !!
แซ่ก... !!
เสียงแหวกพงไม้ดังขึ้นหนึ่งครั้ง มีอะไรสักอย่างกำลังเคลื่อนไหว !
แซ่ก แซ่ก แซ่ก... !!
เร็วมาก !!!
“ใครน่ะ?” ลองส่งเสียงถาม ได้ผล... การเคลื่อนไหวนั้นชะงักลงในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ดูเหมือนว่าเจ้าสิ่งนั้นคงรู้แล้วว่าเชิญเธอมา ทว่า...
สิ่งนั้นกลับเคลื่อนไหวเร็วขึ้น เป้าหมายคือตัวเธอ !!
แย่ล่ะสิ !!!
“ผู้มาคือท่านเองสินะ” สิ่งที่เข้ามาใกล้หาได้ทำร้ายเธอไม่ เงารางๆ ที่น่าจะเป็นเงาของเด็กสาวคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า เพียงดีดนิ้วหนึ่งครั้ง รอบด้านก็พลันสว่างไสวขึ้นมาทันที
“ยินดีต้อนรับสู่งานเลี้ยงค่ะ กรุณาตามเรามา” เด็กสาวผมสีดำมัดรวบสูงในชุดทะมัดทะแมงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ พูดจบก็หมุนตัวกลับแล้วก้าวฉับๆ นำไปทันที
“อ๊ะ เดี๋ยวสิ” หญิงสาวร่างบางวิ่งตามไป ...
คุ้นหน้าเด็กสาวคนนี้... ทำไมกันนะ?
ทั้งสี่คนที่ได้เจอมาเมื่อครู่นี้ต่างก็เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งนั้น แต่ทำไมกันจึงนึกไม่ออกว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร... นี่มันอะไรกันแน่ล่ะนี่?
ระหว่างทางที่ตามเด็กสาวที่นึกยังไงก็นึกไม่ออกเสียทีว่าเป็นใครกันแน่ สายตาหลายคู่พลันจ้องเขม็งออกมาจากเงามืด ดวงตาสีแดงของผู้ล่าที่ส่องประกายหิวกระหายต้องการเลือดเนื้อสดๆ หากแต่พวกมันก็ทำได้เพียงจ้องมองเท่านั้น
“ที่นี่คือป่าของเรา ท่านเองก็คือแขกของเรา เพราะฉะนั้นพวกมันจะไม่ทำอะไรท่านเด็ดขาด” เด็กสาวเฉลยให้เสร็จสรรพราวกับว่ารู้เห็นความคิดของหญิงสาวได้ “ข้ารู้สึกถึงลมหายใจของท่าน... ท่านเหนื่อยหรือเปล่า?”
“ก็... นิดหน่อย” หญิงสาวตอบกลับ ระยะทางเดินตั้งแต่ทุ่งหญ้ามาถึงที่นี่มันไม่ใช่ใกล้ๆ เลย บัดนี้ขาสองข้างของเธอชักจะล้าขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว เด็กสาวที่เดินนำอยู่ลดฝีเท้าลงกะทันหัน แล้วยืนรอให้เธอเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ใกล้ถึงที่พักของเราแล้ว พักให้สบายเถิด...” พูดจบก็ผายมือไปทางโพรงอยู่อยู่ในต้นไม้ต้นใหญ่ราวๆ ผู้ใหญ่หกคนโอบไม่รอบ เป็นราวที่พักที่ธรรมชาติจงใจทำเอาไว้เพื่อเธอ หญิงสาวไม่ต้องพยายามนักก็เข้าไปอยู่ในโพรงนั้นได้
...และยังเหลือพื้นที่ว่างอีกเหลือเฟือเสียด้วย !
หืม?
ดวงตาสีแดงเหลือบมองไปเห็นกองของอะไรสักอย่างที่ดูบุบบิบบู้บี้ชอบกลกองอยู่ในมุมมืดของโพรงไม้ที่สว่างด้วยแสงเทียน ร่างโปร่งกระเถิบเข้าหามันอย่างสนใจ ก่อนจะพบว่ามันคือกล่องของขวัญจำนวนนับไม่ถ้วนที่วางอย่างไม่เป็นระเบียบ และไม่ได้บุบบิบบู้บี้อย่างที่คิดแต่อย่างใด
“หนึ่งในนั้นเป็นของท่าน” เสียงของเด็กสาวเจ้าของที่เล่นเสียผู้แอบมองสะดุ้งเฮือก ในจำนวนนี้มีของที่เตรียมไว้ให้เธอด้วยงั้นหรือ? “เลือกหยิบไปได้ชิ้นหนึ่ง ตามสบายเลย”
“ทำไมกัน?”
เสียงของเธอขัดจังหวะคำพูดของเด็กสาวแห่งพงไพร ดวงตาสีเขียวมรกตไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรนัก แต่เป็นการรอคอยคำถามต่างหาก
“ทำไมถึงให้ฉัน... เราไม่รู้จักกันนี่นา?”
เด็กสาวยิ้มตอบกลับมาอย่างติดจะเศร้าสร้อยเล็กน้อย...
“ท่านอาจคิดแบบนั้นในตอนนี้ แต่เมื่อผ่านพ้นไปสักระยะ ท่านจะรู้เองว่าพวกเราเป็นใคร และเกี่ยวข้องอย่างไรกับท่าน”
ปริศนาแบบนี้... อีกแล้วหรือ?
“งั้นเลือกกล่องนี้แล้วกันนะ” มือบางหยิบกล่องของขวัญสีเขียวเข้มขึ้นมากล่องหนึ่ง ขนาดของมันถ้าไม่นับความยาวแล้วนับว่าพอดีมือ เด็กสาวยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ ก่อนที่จะพูดต่อ
“ข้ากักตัวท่านไว้นานเกินไปหรือเปล่าหนอ... เดี๋ยวน้องๆ ได้รุมถล่มข้ากันแน่เลย เพราะนั้น ข้าจะไปส่งท่านที่ปากทางให้เอง” พูดจบก็ลุกขึ้น แต่แทนที่จะเดินออกจากโพรง กลับเดินลึกเข้าไปอีก
ทางออกอยู่ในโพรงนี้หรอกหรือ?
“เชิญท่านเดินต่อไปอีกสักระยะ สายลมจะค้ำจุนท่านเอง” พูดจบก็โค้งตัวลงแล้วหายไปราวไม่เคยมีตัวตน หญิงสาวจะเอ่ยรั้งไว้ก็ไม่สามารถ ทำไมกัน? ทำไมต้องดีขนาดนี้? แค่คุ้นเคย ไม่ได้รู้จักไม่ใช่หรือไง?
...นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก...
สองเท้าก้าวเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์เรื่อยๆ ปล่อยให้สายลมพัดพาเอาความเหนื่อยอ่อนให้หายสูญไป...
และในโลกภายนอก นาฬิกาก็จากเลข VII ไปอย่างเงียบงัน...
...
...
หกชั่วโมงผ่านพ้น ท้องฟ้าภายนอก ณ บัดนี้เริ่มกลายเป็นสีดำสนิทจากยามรัตติกาล ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ในห้องจะยังมืดสนิทผิดธรรมชาติอีกต่อไป กล่องของขวัญเริ่มวางเป็นตั้งสูง ณ ปลายเตียง เลข VIII สว่างวาบเป็นลำดับที่เจ็ด ปรากฏร่างของเด็กสาวผมสีแดงตัดเป็นทรงบ๊อบเททันสมัยขึ้นมาแทนที่ เธอผู้นั้นวางกล่องของขวัญสีแดงกุหลาบไว้ที่ปลายเตียงอย่างเงียบงัน
ดวงตาของเธอมองมาด้วยความอาทร รอยยิ้มร่าเริงยังคงอยู่บนใบหน้า และจบท้ายด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“ความฝันของเราที่จะมอบให้ท่าน... มาถึงแล้วสินะ?”
แลแปดนั้น... ธรณี... ที่พักใจ
ผู้สดใส... ไร้เรื่อง... ต้องสอบสวน
รักเอสเจ... เอฟที... ไม่เรรวน
เป็นตัวกวน... หัวร่อร่วน... ถ้วนทั่วกัน
“มาถึงแล้วสินะ” เหมือนว่าหญิงสาวจะเริ่มชินกับการปรากฏตัวในสถานที่ต่างๆ กันเสียแล้ว ออกมาจากโพรงไม้เธอก็ต้องพบกับแดนดินที่มีแต่พื้นดินแตกระแหงสุดลูกหูลูกตา มีหย่อมหญ้าที่ยังรอดชีวิตขึ้นอยู่เพียงประปรายในแสงสลัวที่มองไม่ออกว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน...
“ถูกต้องแล้ว ดินแดนที่เจ็ดที่ท่านมาเยือนสินะคะ” เสียงร่าเริงดังขึ้นจากด้านหลัง หันไปก็ต้องพบกับเจ้าของสถานที่ที่ปรากฏตัวขึ้นเป็นคนที่เจ็ด เส้นผมสีแดงตัดทรงบ๊อบเท ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองมาพร้อมประกายระริก ชุดของเธอผู้นั้นเป็นชุดเด็กสาวในชนบทสีสันสดใสเหมือนกับเส้นผม
“เราคือเจ้าของพื้นที่นี้ ขอเชิญท่านเดินชมพื้นที่นี้กับเราเถิด” ว่าแล้วก็เดินเข้ามาจูงมือให้ผู้มาเดินไปด้วยกัน เส้นผมของทั้งคู่ปลิวไสวด้วยแรงลม แต่กลับไม่หนาวเหน็บเหมือนอย่างเคย...
เป็นกระแสลมที่ร้อนอบอ้าว... ไม่ต่างจากความรู้สึกที่มีให้กับสถานที่นี้
“พื้นดินนี้จะกว้างใหญ่ไปถึงที่ไหนกันนะ?” หญิงสาวรำพึงแผ่วเบา หากด้วยความเงียบของสถานที่ เด็กสาวอีกคนที่อยู่ด้วยกันก็ได้ยินเรื่องทั้งหมดด้วยเช่นกัน
“ในสถานที่ที่มีแต่เรากับท่านที่ได้พบนี้ไม่มีจุดสิ้นสุด และแม้กระทั่งดินแดนของพี่ๆ ของข้าที่ผ่านมาเมื่อครู่นี้ทั้งหกหรือแม้กระทั่งดินแดนต่อไปที่ท่านจะต้องไปด้วยก็เฉกเช่นกัน” เธอผู้นั้นตอบกลับมาอย่างแผ่วเบา พลางจักษุพลันสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง
“มองตรงนั้นเถิดพี่หญิง” ชี้ไปทางเนินดินที่ยกสูงกว่าพื้นที่ใดๆ ... ไม่สิ นั่นไม่ใช่เนินดิน แต่เป็นเกวียนหนึ่งคันที่ดูแล้วเหมือนสร้างขึ้นมาจากดินล้วนๆ ต่างหาก !
และบนนั้น... กล่องของขวัญสีน้ำตาลผูกริบบิ้นสีกุหลาบวางรออยู่ก่อนแล้ว
“เราคิดว่าอีกไม่นานท่านคงแบกไม่ไหว ข้าเลยสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาให้ท่าน” พูดจบก็ปรากฏพยัคฆาคู่หนึ่งขึ้นตรงส่วนเทียมเกวียน มีสายโซ่เส้นใหญ่ล่ามพวกมันเอาไว้ และดูเหมือนพวกมันจะรู้จักหน้าที่เป็นอย่างดี
“อ่า สองตัวนั้น พี่สาวของเราคนหนึ่งส่งมาให้จากดินแดนก่อนหน้านี้น่ะ” หญิงสาวได้ฟังก็หวนคิดถึงเด็กสาวแห่งพงไพรที่เธอเพิ่งจากมาทันที ทั้งหมดนี่มีความสัมพันธ์กับเธอยังไงหนอ? “จากนี้ท่านก็นั่งเกวียนนั้นเสียเถิด แล้วเจ้าสองตัวนั้นจะเป็นผู้นำทางท่านจากนี้และเรื่อยไป”
เหมือนรอยยิ้มของเด็กสาวผมแดงเพลิงจะยังคงตราตรึงในหัวใจของผู้มาเยือน แต่ทันทีที่เธอขึ้นไปบนเกวียนเต็มตัว พยัคฆ์ทั้งสองพลันเปล่งเสียงคำรณเลื่อนลั่นแล้วออกวิ่งตะบึงไปทันที
เด็กสาวที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวอีกครั้งเผยรอยยิ้มอีกครั้ง และค่อยๆ สลายไปเป็นธุลีดิน
ร่างของเธอ และเกวียนของอาชูร่าหายไปโดยสมบูรณ์โดยพร้อมเพรียงกัน...
และในชั่วขณะนั้นเอง ที่นาฬิกาจากเลข VIII ไปอีกครั้ง...
...
...
ว่าถึงเก้า... รวนร้าว... ช่างห้าวนัก
เป็นหนึ่งหญิง... แกร่งศักดิ์... แสนแสบสัน
เทิดทูนรัก... เหนือเกล้า... รู้ทั่วทัน
บูชาฝัน... ฝังไว้... ในใจจาร
“ย๊ากกกก !!” เสียงตะโกนดังออกมาก่อนสิ่งใด เล่นเสียจนผู้มาถึงที่ยังไม่รู้อะไรและยังไม่ทันเตรียมตัวแทบจะหูอื้อ สองพยัคฆ์พร้อมใจกันหยุดฝีเท้าลง พร้อมกับดินแดนที่แปดปรากฏสู่สายตา
ห้วย หนอง คลอง บึง เป็นสีดำ บ้านเรือนพังยับเยิน ควันจากสงครามยังคงคุกรุ่น และในความว่างเปล่าอันเกิดจากความสูญเสียนั้น มีร่างหนึ่งยืนอยู่อย่างองอาจท่ามกลางกลุ่มควัน
ร่างนั้นมองเห็นเกวียนของผู้มาแล้ว และเขาหรือเธอคนนั้นก็หาได้เกรงกลัว เดินเข้ามาขวางทางเกวียนทันที
“ผู้ท้าประลองคนใหม่รึ?” เสียงแหบห้าวแต่ทราบได้ว่าเป็นเสียงผู้หญิงดังขึ้น อาชูร่าแหวกม่านที่คลุมตัวเกวียนออกไปอีกเล็กน้อย และดวงตาสองคู่ก็จ้องเจอะกัน...
“อ้าว?” เสียงอุทานเป็นของฝั่งเจ้าของสถานที่ ดวงตาสีเงินเบิกกว้างพร้อมกับมือที่ลดอาวุธซึ่งเป็นเคียวขนาดใหญ่ชุ่มโชกด้วยเลือดลง เส้นผมสีดำแซมเงินมัดรวบสูง สวมชุดนักรบที่แปดเปื้อนไม่ต่างจากอาวุธ
‘ซวยล่ะสิ ดันให้ท่านพี่เห็นสภาพแบบนี้เข้าซะได้...’
ผู้มาได้ยินเสียงนางพึมพำแผ่วเบา...
“อาจจะดูน่ารังเกียจสักหน่อย แต่เป็นเพราะเราเพลินไปเอง ยินดีต้อนรับสู่สถานที่ของเราค่ะ” เด็กสาวพูดพร้อมยิ้มแหยๆ เธอเดินนำเกวียนของหญิงสาวไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉง
เหมือนเหล่าพยัคฆ์จะรู้หน้าที่ มันตามเธอไปอย่างรวดเร็ว
“ดินแดนแห่งนี้มีกฎของมันอยู่ หากใครจะผ่านไปโดยไม่ได้รับเชิญ ต้องดวลกับเราให้ชนะเสียก่อน” เด็กสาวอธิบายระหว่างเดินนำทาง “หากแพ้ ก็ต้องประสบชะตากรรมหลับใหลอยู่ที่นี่ตลอดกาล”
หญิงสาวไม่แม้แต่จะรู้สึกขนลุกแม้สักนิดกับเรื่องนี้... น่าแปลกนัก ตามจริงก็น่าจะสะดุ้งสะเทือนสักนิดนี่นา?
หรือว่าเป็นเพราะเธอคุ้นเคยกับเด็กสาวคนนี้... ที่ไหนสักแห่งอย่างนั้นหรือ?
ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ออก...
เกวียนยังคงหมุนต่อไป โดยหาได้สัมผัสถึงกล่องของขวัญที่เจ็ดที่ปรากฏขึ้นข้างกายอย่างเงียบงันแต่อย่างใด
สีแดงเลือดของห่อของขวัญสะท้อนแสงแวววาม... ไม่ต่างจากสถานที่แห่งนี้
สถานที่แห่งความตายของผู้ไม่รู้ ... แดนของนักรบผู้นี้ !
และตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครทราบ... นาฬิกาก็จากเลข IX ไปอีกเช่นกัน...
...
...
สิบเท้าทัก... ธรรมชาติ... สะอาดใส
เป็นหนึ่งผู้... ปลงใจ... ในสงสาร
เพียงเอ่ยเรียก... จักเพรียก... ดวงวิญญาณ
จากทั่วธาร... กลับมา... คืนสู่แดน
เสียง...?
เสียงนี้มัน...?
เสียงจั๊กจั่น?
ดวงตาสีโลหิตค่อยๆปรือขึ้นช้าๆ
ที่นี่ที่ไหน?
“ตื่นแล้วหรือครับ ท่านผู้มาเยือน”เสียงหวานราบเรียบเอ่ยขึ้น อาชูร่าหันไปมองเจ้าของเสียงอย่างตกใจ
เด็กสาว... ไม่สิ เด็กผู้ชายนี่...
แต่ทำไมเราถึงมั่นใจนักล่ะว่าเป็นผู้ชาย
ริมฝีปากของเด็กหนุ่มยิ้มพราย ดวงตากลมโตสีแดงที่แฝงความเจ้าเล่ห์นั้นช่างคุ้นเคยยิ่งนัก
“มาดื่มน้ำชากันก่อนสิครับ”เด็ก หนุ่มกล่าว ทันใดนั้นถ้วยน้ำชาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า อาชูร่าเบือนหน้าไปมองรอบๆกาย ก็พบว่าตนนั้นอยู่ในห้องทรงยุโรปโบราณ ทุกสิ่งล้วนเป็นสีขาวแต่ก็ทำให้ห้องๆนี้แลดูเก่าแก่
“ที่นี่ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว หากท่านไม่เป็นคนไปยุ่งกับพวกเขาก่อน”เด็กหนุ่มกล่าวกลั้วหัวเราะ แต่นั่นกลับเรียกให้อาชูร่ามองเห็นภาพๆหนึ่ง
แต่ภาพนั้นช่างเลือนรางเหลือเกิน
“ทำไมพวกเธอถึง...”
คำถามเดิมๆ
ประโยคเดิมๆ
“ไม่มีคำตอบครับ เพราะคนที่จะตอบคำถามนี้ได้มีแต่ตัวท่านเอง”เด็กหนุ่มหัวเราะ ใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มนั้นขยับไปมา ก่อนยกถ้วยชาขึ้นจิบ
“และถ้าหากท่านต้องการที่จะผ่านดินแดนนี้ก็ต้องตอบปริศนาของเราให้ได้เสียก่อน”เสียงหวานกล่าวเนิบนาบไม่รีบร้อน ดวงตาสีโลหิตฉายแววความเจ้าเล่ห์ออกมาเต็มเปี่ยม
“หนึ่งคือหนอนไหม สองคือตัวหนอน สามคือผีเสื้อ สี่ร่วงลงสู่ผืนดิน สิ่งนั้นคืออะไร?” ริมฝีปากพราวด้วยรอยยิ้ม หากดวงตานั้นกลับท้าทาย...
อาชูร่าขบริมฝีปากเบาๆ.........
.........................
.................
.............
.........
........
แสงสว่างจากตัว X ค่อยๆ เลือนหายไป พร้อมกับที่กล่องของขวัญกล่องเล็กที่ห่อด้วยกระดาษสีดำประดับด้วยเข็มกลัดผีเสื้อปรากฏขึ้น
แสงสว่างค่อยๆปรากฏขึ้นห่อหุ้มตัวอักษร XI
สิบเอ็ดหรือ... คือสายธาร... งามวิไล
คือหนึ่งใน... ผู้บุกเบิก... ฤกษ์สุดแสน
แม้ว่าใคร... จะใกล้ไกล... สุดต่างแดน
หารอนแรน... พบพาน... หนึ่งทรามวัย
สายลมพัดกระทบใบหน้าเบาๆ ดวงเนตรสีแดงจับจ้องมองเด็กสาวที่ยืนนิ่งอยู่ที่ริมผา เส้นผมสีดำที่ถูกรวบปลิวไสว เด็กสาวยืนนิ่งราวกับรูปปั้น
“ในที่สุดท่านก็มา...”เด็กสาวกล่าวขึ้นเบาๆ ใบหน้าคมหวานหันมาทางอาชูร่า หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งดวงตาสีนิลของอีกฝ่ายลอบมองใบหน้าของอาชูร่าด้วยสายตาที่ราบเรียบ
“อีกคนแล้วเหรอเนี่ย...”อาชูร่าพูดอย่างมึนงง แต่ดินแดนที่ผ่านมาก็ทำให้เธอรู้สึกสนุกกับเกมตอบปัญหาอยู่เหมือนกัน อันที่จริงเธอรู้สึกมีความสุขตั้งแต่เข้ามาในดินแดนที่แปลกประหลาดเหล่านี้ตั้งแต่แรกแล้ว
“คิกๆ ต้องขออภัยที่ดินแดนนี้คงจะไม่มีอะไรที่จะทำให้ท่านได้เริงรมย์ได้....”
ดินแดนนี้คือความเงียบสงัด
ดินแดนนี้คือความสงบที่ไม่อาจหาได้จากที่ใด...
เด็กสาวยื่นมือมา อาชูร่ามองมือนั้นด้วยจิตใจที่แสนสับสน
“ความจริงของการมีชีวิตคืออะไร.....”
ปริศนาที่มีคำตอบมากมายจนยากที่จะนับ คำตอบของปริศนานั้นคือ....
.........................
...............
.........
....
“
.”
ริมฝีปากขยับตอบคำถามของเด็กสาวช้าๆ ทันใดนั้นสถานที่ที่เธออยู่ก็ค่อยๆปริร้าวทีละนิดราวกับแก้วที่กำลังจะแตก เผยให้เห็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีกว้างไกล
กลิ่นหอมของต้นหญ้าแตะที่จมูกเบาๆ พลันสติก็เลือนรางไป
“ยินดีด้วยค่ะท่านพี่....”
เรื่องราวเหล่านี้ใกล้จะถึงความจริงแล้ว...
เข็มนาฬิกาผละจากเลข XI แล้ว....
สิบสองไป... พายุ... คุคะนอง
ความร่าเริง... ไม่เป็นสอง... รองคนไหน
แท็กทีมกับ... พี่แปด... รั่วได้ใจ
เป็นดั่งความ... สดใส... ของตระกูล
เข้ามาก็เจอพายุก่อนเลยรึ?... ดินแดนที่สิบเอ็ดที่ได้เจอ?
ดวงตาสีแดงพยายามมองต้านลมพายุที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง มีร่างร่างหนึ่งลอยอยู่ใจกลางพายุ !!
อันตราย !!
คิดจะเอื้อมมือเข้าไปช่วย แต่ก็ทำไม่ได้
ในสถานที่ที่แม้แต่เสียงตะโกนกรีดร้องใดใดก็ถูกกลืนกินด้วยเสียงคำรามแห่งวาโย เหมือนว่าร่างที่ลอยอยู่จะลงมาใกล้กับระดับสายตาของเธอเรื่อยๆ และแล้วสิ่งที่ไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อจะปรากฏ
“เรารอท่านอยู่นานแล้วล่ะ พี่สาว” เสียงของผู้ที่อยู่ในใจกลางพายุพูดขึ้น ส่งตรงมายังเธอได้โดยตรง !
“...” คำพูดของหญิงสาวถูกกลบด้วยเสียงพายุ ดวงตาสีแดงเพลิงมีเค้าความงุนงง ก่อนที่จะโบกมือครั้งหนึ่ง
แล้วพายุก็ผ่านพ้นไปราวกับไม่เคยมีอยู่... พร้อมกับร่างบอบบางที่เท้าแตะพื้นอย่างนุ่มนวล
“การเดินทางของท่านช่างยาวไกลนัก พี่สาวเอ๋ย” เด็กสาวที่ดูยังไงก็อายุน้อยที่สุดในกลุ่มคนที่เธอเคยเจอมาพูดขึ้น “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก นี่ใกล้ปลายทางเข้าไปทุกทีแล้วล่ะค่ะ”
ทั้งสิบคนที่เจอมาก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่คุ้นหน้า... และเด็กคนนี้เองก็เช่นกัน
เสื้อผ้าสีฉูดฉาดเตะตาที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น เส้นผมและดวงตาที่มีสีใกล้เคียงกัน... ทั้งหมดเหมือนกับคนๆ หนึ่งที่เธอรู้จัก แต่นึกเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทราบได้
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หญิงสาวละวางการคิดฟุ้งซ่าน หันมาทำตัวให้ลื่นไหลไปตามกระแสของมันแทน
“ตัวจริงของดินแดนนี้ก็คือพายุ ที่จริงไม่มีสิ่งใดนอกเหนือไปจากนี้... แผ่นดินแห่งนี้ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นเราเองที่สร้างมันขึ้นมาค่ะ” เธออธิบายราวกับไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ หญิงสาวรู้สึกผิดสังเกต
...มันต้องร่าเริงกว่านี้สิ?
อ๊ะ???
ทำไมถึงได้คิดแบบนี้ขึ้นมากันนะ? เราไม่ได้รู้จักคนๆ นี้สักหน่อย
แม้จะรู้สึกคุ้นเคยมานานก็ตาม...
กล่องของขวัญสีขาวใบจ้อยถูกสายลมพัดมาหย่อนลงที่ท้ายเกวียนอย่างเงียบงัน...
“เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก... อีกเดียวคงครบชั่วโมง” เด็กสาวพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา “เราจะได้พบกันอีกเมื่อถึงเวลาค่ะ”
และอีกครั้งที่หญิงสาวไม่มีทางคัดค้าน ภาพตรงหน้าก็พลันหายวับไปในทันที
แต่ในครานี้... หายสู่หลุมดำทั้งดินแดน !!
เกวียนลอยเคว้งอยู่ในสถานที่ที่ไม่ต่างกับสุญญากาศ หากอากาศยังมีให้หายใจ...
ดินแดนใหม่ ซึ่งเป็นดินแดนสุดท้ายกำลังจะปรากฏขึ้น...
พร้อมกับที่เข็มนาฬิกาลาจากเลข XII ไปสู่แต้มดำแปลกตาเพียงหนึ่งเดียวบนหน้าปัด
ใกล้เข้ามาแล้ว... ตัวจริงของบทสรุปที่รอคอยอยู่ !!
...
...
มืด ....
นี่ฉันลืมตาอยู่รึเปล่า ... ทำไมจึงไม่เห็นสิ่งใดเลย
หญิงสาวยกมือขึ้นมอง เธอยังเห็นมัน เธอมองเห็นร่างกายของตนเอง
แต่นอกจากนั้น ทุกอย่างดำมืด
ทั้งสิบเอ็ดดินแดนที่ผันผ่าน เธอรู้สึกอบอุ่น
อาชูร่าไล่มือสัมผัสพื้นที่เธอเหยียบย่างผ่านมา หากไม่แตะคลำเยี่ยงคนตาบอด คงเสมือนเธอเดินอยู่บนห้วงความมืดมิด
ช่างหนาวเย็นเหลือเกิน ...
“มีใครอยู่ที่นี่ไหม” เธอลองตะโกน ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงสะท้อนกลับมา หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วกวาดตามองไปรอบๆ เพื่อหาจุดอะไรก็ได้ที่เธออยากให้มันเกิดขึ้นเหลือเกิน “ใครได้ยินช่วยตอบที”
แต่ก็ไม่มีใครตอบคำร้องนั้น
นี่มันอะไรกัน ... เกิดอะไรขึ้นอีก
แต่ที่ผ่านมามันไม่ใช่แบบนี้มิใช่หรือ
คนทั้งสิบเอ็ดที่เธอมั่นใจว่าไม่เคยเห็นหน้า แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยปรากฏออกมาคนแล้วคนเล่า ในแต่ละชั่วเวลาที่ผันผ่านไปล้วนแล้วแต่ฉุดลากเธอ เชิญชวนเธอ แต่ไม่มีสิ่งไหนเลยที่เธอรังเกียจ ... และรอยยิ้มของพวกเขาเหล่านั้น ทำให้เธอมีความสุข
แต่ตอนนี้เธอกลับมาจมสู่ความมืดอีกครั้ง
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่เธอจะได้พบกับพวกเขา ความมืดนั้นคือเพื่อน ... ความเงียบคือสิ่งที่ไม่แปลกเลย
แต่ทำไม ...
แสงสว่างเล็กๆ จุดหนึ่งวาบขึ้นมาที่หางตา
อาชูร่าเงยหน้าขึ้นทันที ... เธอไม่ได้ตาฝาด หากแต่แสงนั้นอยู่ไกลเหลือเกิน และเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ยิ่งลอยห่างออก ในหัวหญิงสาวไม่อาจคิดอะไรได้อีก เธอย่างเท้าขยับเร็วขึ้น เร็วขึ้น “เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป!”
แต่ไม่ว่าต้นกำเนิดแห่งแสงนั้นจะได้ยินหรือเข้าใจเธอหรือไม่ มันก็ไม่ยอมหยุดนิ่งอย่างคำขอ ขาลแห่งฮิโทคิเร่งฝีเท้า แต่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งไกล ยิ่งเอื้อมมือคว้าก็ยิ่งห่างออกไป
สุดท้าย ร่างกายที่อ่อนล้าก็ล้มทรุด ขาเธอไม่อาจก้าวต่อได้อีกแล้ว “อย่าไป ..”
เหตุใดจึงรู้สึกอ้างว้างเหลือเกิน การอยู่คนเดียวในความมืดมันเหงาเพียงนี้เชียวหรือ
“ทำไมถึงหนีห่างออกไปล่ะ” หยาดน้ำชื้นๆ ไหลปริ่มในดวงตาอย่างไม่อาจควบคุมได้ “อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว อย่าทิ้งชูไว้ ...”
“อะไรกันคะ ร้องไห้ทำไมกัน “
วกกลับหนึ่ง... ผู้ซึ่ง... ปรากฏหน้า
เป็นผู้มา... คนใหม่... ใช่สาบสูญ
คืออสรพิษ... ฤทธิ์ร้าย... พรายอาดูร
พิษเพิ่มพูน... หากห่อนร้าย... คลายอาทร
เสียงเรียกนั้นอ่อนหวาน และแสนนุ่มนวล อาชูร่าเงยขึ้นมอง
แสงสว่างนั้นเจิดจ้า ...
โคมไฟส่องแสงสีนวลอยู่ในมือของหญิงสาวผู้แต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวสะอาดทั้งตัว ไม่เว้นแต่เรือนผมก็ยังส่องสว่าง แต่ที่สดใสเสียยิ่งกว่าโคมที่ทำลายความืดนั้นคือรอยยิ้มบนใบหน้านั้น
“ถ้าทำแบบนี้ต่อหน้าน้องๆ บ้านคงวุ่นวายแย่เลยนะคะ” มืออ่อนนุ่มแนบใบหน้า ความอุ่นนั้นแผ่ซ่านขณะปาดน้ำตาออกจากขอบตาสีดำสวย “ครั้งนี้เราจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นละกันนะคะ”
หากทว่าทันทีที่หล่อนพูดจบ น้ำตากลับยิ่งไหลออกมามากว่าตอนแรก เสียงพูดฟังยากแม้ตัวคนเอ่ยเองยังสับสน “ฉันรู้สึกเหมือนได้เต็มอิ่มด้วยความรักจากพวกเขา แต่ทำไมตอนนี้มันหดหายไปหมด ... ไม่มีเหลือ”
หญิงแปลกหน้าที่คงอายุมากกว่าเธอไม่พูดสิ่งใดออกมา แต่อาชูร่ารู้สึกได้ว่าเธอยิ้มน้อยๆ รอคอยให้เธอคร่ำครวญ รอคอยจนกว่าเธอจะสงบลง
หญิงสาวผู้นั้นวางโคมไฟลงข้างตัว ก่อนจะจับมือเธอขึ้นมา
“ลองฟังนี่สิคะ” สตรีในชุดขาวแนบมือที่เธอจับไว้ลงบนอกข้างซ้ายของอาชูร่า ฝ่ามือเธอเองก็ทาบทับอีกชั้น ดวงตาสีอำพันหลับลงดั่งเงี่ยหูฟัง “ได้ยินแบบที่เราได้ยินไหม”
ครู่หนึ่งที่อาชูร่าไม่เข้าใจ แต่เพียงวินาทีต่อมาเธอก็ได้ยินเสียง ...
“ขอให้หลับฝันดีนะคะ”
“ท่านจะยังจำได้ ... แม้ว่านานแสนนานก็ตาม”
“เราจะเป็นพระจันทร์ให้ท่านเอง ... ท่านพี่”
“เราขอให้ท่านมีความสุขนะครับ”
“นี่คือของเล็กๆน้อยๆจากเรา เราปรารถนาที่จะให้ท่านเก็บรักษามันไว้”
“ข้ารู้สึกถึงลมหายใจของท่าน... ท่านเหนื่อยหรือเปล่า?”
“เราคิดว่าอีกไม่นานท่านคงแบกไม่ไหว ข้าเลยสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาให้ท่าน”
ดันให้ท่านพี่เห็นสภาพแบบนี้เข้าซะได้...’
“มาดื่มน้ำชากันก่อนสิครับ”
“ยินดีด้วยค่ะท่านพี่....”
“เรารอท่านอยู่นานแล้วล่ะ ... พี่สาว”
“ได้ยินเสียงของพวกเขาไหมคะ ...” เสียงหวานนุ่มกระซิบแผ่วเบา
อยู่ที่นี่นี่เอง ...
มันอยู่ที่นี่ตลอดมา
ความอบอุ่นที่มันไม่เคยหายไปเอ่อล้นขึ้นมา จนเธอไม่รู้สึกถึงความเหน็บหนาวที่เกาะกุมหัวใจเมื่อครู่ ราวกับไม่เคยมีมันมาก่อน คำพูดจากทั้งสิบเอ็ดดินแดนที่ผ่านมาย้อนกลับมาดังก้องในนี้นี่เอง
“อาจมีบางครั้งที่หนาวเหลือเกิน จนไม่อาจทนไหว” หญิงสาวแปลกหน้าคนสุดท้ายกล่าว ทุกเสียงที่เธอเปล่งกำลังเข้าไปอยู่ในหัวใจของเธอรวมกับเสียงที่ผ่านมา “แต่จงฟังเสียงพวกนี้นะคะ ... พวกเขาอยู่ที่นี่เสมอ เพียงแค่รู้สึกถึงพวกเขาเท่านั้นเอง”
เธอปล่อยมือที่แนบทับออก แล้วหยิบตาเกียงขึ้นมา อาชูร่าเพิ่งสังเกตเห็นว่าจุดกำเนิดมันไม่ใช่เชื้อเพลิง แต่เป็นกล่องใบเล็กๆ ที่ส่องแสงเจิดจ้า
“นี่คือของขวัญจากเรานะคะ” เธอเอ่ยแผ่วหวาน “และเมื่อลุกตื่นขึ้น อย่าลืมที่จะเปิดมันทีละกล่องๆ แล้วนึกถึงพวกเราด้วยนะคะ”
แสงสว่างนั้นขยายวงกว้างขึ้นจนมองไม่เห็นอีกครั้ง
“และอย่าลืมว่า พวกเราทุกคนจะอยู่เคียงข้างชูจังตลอดไป ....”
เสียงนาฬิกาดังเหง่งหง่างกังวานไปทั่ว ร่างผอมบางลุกขึ้นอย่างงัวเงีย และพบว่าตนเองอยู่บนเตียงนอน โดยมีผ้าห่มคลุมตัวเพื่อไม่ให้ลมหนาวยามดึกมากระทบ
เข็มชั่วโมงชี้ไปที่เลขสอง ....
เวลาผ่านไปอีกครั้ง พร้อมกลับปลุกให้หญิงสาวผู้ผจญภัยตื่นขึ้นจากความฝัน
และพบกับของขวัญทั้งสิบสองชิ้นอยู่บนหัวเตียง ... ของขวัญจากครอบครัวของเธอ
(ตรงนี้คือมุมคำอวยพรท้ายเรื่องครับ)
---Hitoki Yu’s Message---
เหนื่อยแทบรากเลือดกันทีเดียวสำหรับฟิคตอนเดียวจบเรื่องนี้ ขอโทษพี่วินแล้วก็ลูซด้วยนะครับที่ชวนช้าไปหน่อย เลยต้องเร่งกันตาตั้งหูตูบ (เอ๊ะยังไง?)
สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งครับท่านพี่ แม้ว่าข้อความนี้อาจส่งถึงช้าไปหน่อยก็ตาม
ผมไม่รู้จะอวยพรยังไงดีแล้วล่ะครับ เพราะทุกอย่างที่อยากพูด ผมตอบลงไปในจดหมายหมดแล้ว เอาเป็นว่าขอเพิ่มเติม ขอให้สุขภาพดีขึ้นๆ ทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจนะครับ (รักษาสุขภาพจิตบ้างนะคร้าบ !) /*/ วิ่งหนี...
ถ้ามันทำให้รู้สึกไม่ดี ผมขอโทษครับ
----------- (คนอื่นที่ไม่ได้ร่วมวงเขียนฟิค ถ้าเห็นข้อความนี้ จะร่วมอวยพรก็ได้นะครับ) ------
---Hitoki Akira’s Message---
แทบตาย ...
ไม่รู้ว่าจะน้ำเน่าไหมนะคะ ... ลองดูละกัน
แต่ก็สุขสันต์วันเกิดค่ะ ขอให้มีความสุขมากๆ
พูดง่ายๆ แต่ความสุขเนี่ยแหละ คือทุกๆ อย่างแล้ว
นะ
---Hitoki ’ Luz[iuez]s Message---
ขอให้ท่านพี่ความสุข
คิดสิ่งใดสมปรารถนา
และขอให้แม่มดปกป้องคุณ
ผลงานอื่นๆ ของ HitokI FamilY ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ HitokI FamilY
ความคิดเห็น